วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

น้ำตกวชิรธาร

น้ำตกวชิรธาร ถ้าเดินทางจากเชิงดอยอินทนนท์ จะอยู่ตรงกิโลเมตรที่ 21 อยู่ทางด้านซ้าย ลงไปแค่ 500 เมตร ก็จะเห็นตัวน้ำตกเลยค่ะ  เป็นน้ำตกที่ถือว่าสวยติดอันดับของประเทศเลยทีเดียวค่ะ 


ตัวน้ำตกจะมีแค่ชั้นเดียว  แต่สูงถึง 70  เมตรเลยทีเดียวค่ะ แค่ยืนอยู่ใกล้ๆก็จะได้สัมผัสละอองน้ำ ที่ปลิวมาจากน้ำตกที่ไหลลงมากระทบด้านล่าง  สามารถมองเห็นสายรุ้งเลยนะคะ สวยมากเลยทีเดียว  

บริเวณน้ำตกค่อนข้างอันตรายค่ะ เพราะพื้นและหินจะลื่นมาก  คงเกิดจากความชื้้นจากละอองน้ำที่ปลิวตลอดเวลาค่ะ เด็กเล็ก และผู้สูงอายุควรระวังเป็นพิเศษค่ะ  เพราะพื้นลื่นมากจริงๆ  กลับจากเที่ยวดอยอินทนนท์ก็ลองแวะถ่ายรูปที่นี่กันนะคะ รับรองได้ภาพที่สวยงามแน่นอนค่ะ




ฉากหลังที่สวยงามของน้ำตกค่ะ




อากาศเย็นสบายจากละอองน้ำตกค่ะ




มองเห็นรุ้งกินน้ำตอนกลางวันได้ด้วยนะคะ




ลำธารด้านล่างลงเล่นน้ำได้ค่ะ แต่น้ำค่อนข้างเชี่ยวมาก

แม่กลางหลวง


แม่กลางหลวง เป็นชุมชนที่อยู่ในเขตการปกครองของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์  เป็นสถานที่ๆน่าแนะนำค่ะ เพราะอยู่ไปไกลจากยอดดอยอินทนนท์  ตื่นตีห้าก็สามารถขับรถขึ้นไปดู แม่คะนิ้ง และพระอาทิตย์ขึ้นได้เลยคะ 

การเดินทางก็ไม่ลำบากเลย ขึ้นมาตามเส้นทางอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์นี่เลยค่ะ  ประมาณ 26 กิโลเมตร จะอยู่ทางซ้ายมือ ก็จะเจอเลยค่ะ  ที่นี่มีรีสอร์ท จุดกางเต็นท์ ร้านค้า และมีบริการอุปกรณ์การปิ้ง ย่างด้วยนะคะ ที่นี่จึงสะดวกสบายพอสมควรค่ะ  สำหรับครอบครัวที่ชอบเที่ยวพักผ่อนแบบสบายๆ

ไฮไลท์ของที่นี่เลยคือ การปลูกข้าวแบบขั้นบันไดค่ะ  ถ้ามาในช่วงหน้าฝน ก็จะเห็นทุ่งนาเขียวขจีเลย แต่ถ้าหลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงใกล้เก็บเกี่ยว  ข้าวทั้งทุ่งก็จะเป็นสีทองอร่ามเลยละค่ะ แต่ถ้ามาตอนฤดูหนาว ข้าวก็จะถูกเก็บเกี่ยวหมดแล้ว เหลือแต่ตอข้าวให้เห็น แต่อากาศที่นี่ รับรอง หนาวและเย็นสบายแน่นอนค่ะ เพราะอยู่ในหุบเขา ติดกับลำธารอีกด้วย ถ้ามาก็อย่าลืมเตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบายกันค่ะ 




มีบ้านพักหลายหลัง ให้เลือกวิวตามใจชอบเลยค่ะ




มีบริการจุดกางเต็นท์ด้วยค่ะ ที่นี่ปลอดภัยค่ะ เพราะชาวบ้านช่วยกันดูแล




มีร้านค้าบริการ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม และมีอาหารสดด้วยนะคะ




บ้านพักมีหลายแบบค่ะ อย่างเช่นบ้านหลังนี้ ติดริมลำธารค่ะ




ไฮไลท์ของที่นี่เลยคือ การปลูกข้าวขั้นบันได แต่ตอนนี้เก็บเกี่ยวหมดแล้ว 




รีสอร์ทที่นี่ติดริมลำธารเลยทำให้อากาศค่อนข้างเย็นมาก แม้แต่ช่วงกลางวันก็ยังเย็นอยู่เลยค่ะ

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

น้ำตกแม่ยะ

น้ำตกแม่ยะ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์  เป็นน้ำตกที่ขนาดใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ และยังติดสิบอันดับของน้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศไทยอีกด้วยค่ะ 

เป็นสถานที่เงีบยสงบ เสียงธารน้ำไหล ร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนกับครอบครัวมากเลยค่ะในช่วงวันหยุดนี้ และที่นี่ยังมีเสื่อให้เช่า มีอาหารส่งถึงที่ค่ะ แต่แนะนำว่าควรเตรียมอาหารและเครื่องดื่มมาจากบ้านดีกว่านะคะ เพราะอาหารที่นี่ค่อนข้างแพง 

บริเวณน้ำตกก็สามารถเล่นน้ำได้ค่ะ แต่ต้องระมัดระวัง เพราะหินลื่นมาก และเด็กควรระมัดระวังเป็นพิเศษเลยนะคะ น้ำตกที่นี่เย็นมาก แค่เอาเท้าจุ่มลงไปยังสะดุ้งเลยค่ะ ถ้าลงทั้งตัวคงแข็งตายแน่เลย เลยขอนอนเล่นริมลำธารดีกว่าค่ะ บรรยากาศร่มรื่น บวกกับเสียงน้ำไหล นอนพักผ่อนเพลินเลยหล่ะคะ




น้ำตกที่สวยงามติดหนึ่งในสิบของประเทศไทยค่ะ




น้ำที่ไหลลงมากระทบชั้นหินเป็นม่านน้ำ




น้ำตกจะไหลกันรวมเป็นแอ่งและลำธารด้านล่าง




ที่นี่เล่นน้ำได้อย่างปลอดภัยค่ะ แต่ระวังหินลื่นหน่อยนะคะ

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ฤดูกาลเก็บถั่วแขก

ฤดูกาลเก็บถั่วแขก ถั่วแขกเป็นพืชพุ่ม กิ่งเลื้อย อายุการเก็บเกี่ยวจะประมาณ 70-80 วันนับตั้งแต่วันหยอดเมล็ด หลังจากปลูกได้ 15 วันก็ต้องทำค้างให้เลื้อยเหมือนถั่วฝักยาวค่ะ

ในหมู่บ้านปากอิงจะปลูกถั่วแขกกันทุกปีและเกือบทุกหลังคาเรือน เป็นเหมือนอาชีพหลักเลยก็ว่าได้ค่ะ  ถั่วแขกจะปลูกกันในฤดูหนาวค่ะ จะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้ออีกที  หลังเสร็จสิ้นจากการเก็บเกี่ยวก็จะปลูกพืชชนิดอื่นๆแล้วแต่ตามต้องการ  

เมื่อถั่วเริ่มเก็บผลผลิตได้แล้วก็จะหาลูกจ้างประจำมาช่วยเก็บถั่วค่ะ ส่วนมากจะมาจากฝั่งลาว แค่ต้องขออนุญาติเข้าเมืองให้ถูกต้องก่อนนะคะ บ้านหนึ่งหลังจะมีลูกจ้าง 2-3 คนขึ้นไป ฉนั้นในช่วงเก็บถั่วแขกนี้คนในหมู่บ้านจะเยอะมากเป็นพิเศษค่ะ

จะต้องออกไปเก็บถั่วแขกกันตั้งแต่ไก่โห่เลยทีเดียว หนาวก็หนาว จนมือชาเลยหล่ะค่ะ ต้องเก็บทุกวันนะคะ และต้องเก็บให็เสร็จทั้งไร่ด้วยค่ะ ไม่งั้นอีกวันจะโตเกินไป ได้ราคาต่ำค่ะ หลังจากนั้นตอนเย็นก็จะมานั่งคัดกัน โดยมี เกรดเอ และบีค่ะ เกรดเอจะได้ประมาณกิโลละสิบบาท ส่วนบีก็จะได้กิโลละห้าบาท  

ในตอนช่วงคัดถั่วนี่เหละค่ะ จะเป็นช่วงหนุ่มจีบสาว เพราะลูกจ้างทั้งหมดจะมารวมกันคัดถั่วที่บ้านคนรับซื้อ สาวที่หน้าตาดีก็โดนแซวกันใหญ่เลยค่ะ ถ้าเกิดหนุ่มๆชอบสาวคนไหนก็จะมาช่วยนั่งคัดถั่วด้วย ชวนพูดคุย ขายเสร็จก็เดินส่งกลับบ้าน บ้างก็ก่อกองไฟนั่งผิงไฟกันบ้าง จากนั้นก็แยกย้ายกันพักผ่อน ดูแล้วคนที่ฝั่งโขงเค้ายังรักษาจารีตประเพณีอยู่มากเลยนะคะ ถ้าเกิดมีหนุ่มอยากมาเที่ยวหาสาวที่บ้านก็ต้องขออนุญาตจากพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงก่อนนะคะ เพื่อให้เกียรติกัน และก็นั่งคุยกันในบ้าน ไม่ได้นัดพบปะกันข้างนอก

โรแมนติกดีนะคะฤดูการเก็บถั่วแขก ได้เห็นการจีบกันของหนุ่มสาวลาว คงจะเหมือนสมัยก่อนรุ่นพ่อแม่ที่ร้องเพลงเกี้ยวสาว นั่งคุยกันในสายตาผู้ใหญ่ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่เหมือนวัยรุ่นของเราสมัยนี้ค่ะ หลังจากหมดการเก็บเกี่ยว บางคนก็ได้เป็นคู่ครองกัน บ้างก็แยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาของตัวเอง แต่ที่ยังเหลือก็คือคือมิตรภาพและเรื่องเล่าของใครของมันเอาเก็บไว้ให้ลูกหลานฟังต่อไปค่ะ




ถั่วแขก




ใช้มือเก็บทีละฝ้กค่ะ จนหมดทุกต้นเลย




จากนั้นก็เก็บรวมใส่กระสอบไว้




หลังจากอาบน้ำกินข้าวเย็นแล้ว ก็มานังคัดถั่วกัน




คัดเสร็จเรียบร้อยก็ใส่เข่งชั่งน้ำหนักขายได้เลยค่ะ

พ่อเฒ่าเหนียว คนเก็บปิ่นโตวัด


พ่อเฒ่าเหนียว คนเก็บปิ่นโตวัด พ่อเฒ่าเหนียว ชื่อจริง "นายเหนียว คำหล้า" อายุ76ปี อาศัยอยู่บ้านปากอิง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่อยากนำเรื่องราวของพ่อเฒ่าเหนียวมาเล่าสู่กันฟัง ก็เพื่อสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของเราในปัจจุปันค่ะ

ในชนบทที่ทำไร่ทำนาตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีเวลาทำกับข้าวตักบาตรในตอนเช้า ฉนั้นจึงจะมีคนที่คอยเก็บปิ่นโตเพื่อนำอาหารจากชาวบ้านไปถวายพระที่วัดทุกวัน ยกเว้นวันพระค่ะ เพราะเป็นวันที่ชาวบ้านเตรียมกับข้าวไปทำบุญ ตักบาตรที่วัดเอง และคนคอยเก็บปิ่นโตประจำหมู่บ้านก็คือ "ลุงเหนียว" นี่เหละค่ะ ตอนนี้แกแก่มากแล้ว ก็เลยเรียกกันว่า "พ่อเฒ่าเหนียวค่ะ" 

ตั้งแต่จำความได้ทุกเช้าเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้าของทุกวัน  จะเห็นพ่อเฒ่าเหนียวแกจะหาบคานปิ่นโตไว้ใส่กับข้าวและย่ามใบหนึ่งเพื่อใส่ข้าวเหนียวค่ะ และแกก็ต้องไปถวายพระก่อนแปดโมง แกทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่เหนือหมู่บ้านจรดท้ายหมู่บ้นค่ะ เพื่อแลกกับค่าจ้างเดือนละประมาณ สองพัน บ้านทุกหลังจะจ่ายให้แกเดือนละสิบบาท มีประมาณสองร้อยหลังค่ะ

ในวันนี้ได้มีโอกาสเจอแกอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอแกร่วมสิบปีแล้วมั้งค่ะ ก็เลยเข้าไปทักทายและถามแกว่า ตอนนี้ใครเป็นคนเก็บปิ่นโตแทน เพราะเห็นแกแก่มากแล้ว แกตอบว่าไม่มีใครทำแทน และพระจำที่วัดก็มีแค่รูปเดียว บิณฑบาตรเองก็พอฉันอยู่ 

จึงทำให้นึกถึงว่า ตอนเมื่อยังเป็นเด็ก วัดจะเป็นศูนย์รวมของคนในหมู่บ้าน มีการปัญหาอะไรก็จะนัดประชุมกันที่วัด มีพระ เณร หลายรูป วันพระก็จะเป็นอะไรที่ตอนเด็กๆชอบมาก เพราะมีขนมที่เหลือจากพระฉัน วันออกพรรษาหรือลอยกระทง เณรก็จะช่วยกันทำดอกไม้ไฟเด็กๆก็จะช่วยทำด้วย แต่ปัจจุบัน วัดเงียบเหงามาก อาจเพราะชาวบ้านยุ่งอยู่กับการทำงานหาเงินเพื่อให้ได้วัตถุนิยมตามสมัย รายจ่ายเยอะขึ้นก็ต้องทำงานเยอะขึ้นตามกิเลสของใครของมัน หรือเพราะการละเลยจากการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี




พ่อเฒ่าเหนียวค่ะ




แกเก็บปิ่นโตให้วัดตั้งแต่สมัยหนุ่มๆค่ะ




ตอนนี้คงไม่มีหนุ่มสาวที่ไหนกล้าที่จะหาบปิ่นโตแทนแกแล้ว





สมัยก่อนวัดจะใช้ปิ่นโตสีเหลืองแบบนี้ค่ะ ก็เลยเรียกกันว่า"ปิ่นโตวัด" ค่ะ

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ลานพระบรมรูปทรงม้า


ลานพระบรมรูปทรงม้า  ที่นี่เป็นดั่งจุดนัดพบของคนรักรถทั้งหลาย แต่ไม่ใช่การแข่งรถกันนะคะ  แต่จะมีชมรมของรถต่างๆนามารวมตัวกันที่นี่ เพื่อพบปะพูดคุยกันตามประสาคนรักรถ  ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถรุ่นเก่าที่หายากแล้ว และรถประเภทสวยงาม  เช่นรถแต่ง บิ๊กไบค์ รถยุโรป  จักรยานก็มีนะคะ

ส่วนใหญ่ผู้คนจะมาที่นี่กันในคืนวันเสาร์ อาทิตย์ค่ะ มีทั้งคนที่มากราบสักการะเสด็จพ่อ  คนที่มาเดินเล่นดูรถประเภทต่างๆ  และยังมีนักปั่นทั้งหลายปั้นมาจากบ้านเลยนะคะเพื่อจะมารวมตัวกันที่นี่ด้วยค่ะ     

บรรยากาศที่นี่ดีมาก  มีลมโกรกตลอดเวลาเพราะเป็นลานโล่ง  มีไฟประดับรอบลาน  และยังมีทหารคอยเฝ้าระวังการก่อเหตุร้ายต่างๆด้วย  ฉนั้นที่นี่จึงค่อนข้างปลอดภัยจากการก่อเหตุทะเลาะวิวาท  และการก่อเหตุอาชญากรรมด้วยค่ะ

ถ้าเกิดรู้สึกอยากไปไหนสักที่ในคืนวันหยุด  ขอแนะนำมาเดินเล่นที่นี่ค่ะ  เผื่อจะได้รู้สึกผ่อนคลายบ้าง  คลายเครียดจากการทำงานในห้องสี่เหลี่ยมทั้งวัน  ลองมานั่งเล่น และมากราบไหว้เสด็จดูซักครั้งนะคะ  แล้วรู้สึกได้ว่าความสบายใจหาได้ง่ายๆ  ถ้ารู้จักปล่อยวาง




พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5)




ประดับไฟรอบๆลานค่ะ




มีรถประดิษแบบแปลกๆด้วยนะคะ




ชมรมของชาวบิ๊กไบค์ค่ะ




และนี่คือรถประเภทสวยงามค่ะ มีหลายสีน่ารักดีค่ะ

  


เป็นรถยุโรปค่ะ แต่เป็นยี่ห้ออะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่สวยมากและน่าจะแพงด้วย

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวเขาใหญ่

ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวเขาใหญ่   นี่เป็นทริปแรกของการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวที่ไกลที่สุดเลยค่ะ  จากกรุงเทพไปถึงเขาใหญ่ระยะทางประมาณ 205 กิโลเมตรค่ะ  เขาใหญ่ยังเป็นอุทยานแห่งแรกของไทยอีกด้วยนะคะ พื้นที่ของเขาใหญ่กว้างมาก  ครอบคุมถึงสี่จังหวัดเลย มี จังหวัดสระบุรี  นครศรีธรรมราช  ปราจีนบุรี  และนครนายกค่ะ

 เส้นทางจากกรุงเทพไปเขาใหญ่ไปได้สองทางค่ะ  ทางแรกคือแยกจากถนนมิตรภาพตรงกิโลที่ 56 ไปตามถนนธนะรัชต์ประมาณ 23 กิโลเมตร ส่วนอีกเส้นทางคือ จากกรุงเทพ-แยกกองหิน แล้วไปตามทางหลวงหมายเลข 33 ถึงสี่แยกเนินหอมใช้ทางหลวงหมายเลข 3077 ไปถึงเขาใหญ่ค่ะ  แต่เส้นทางที่สองค่อนข้างชันนะคะ

ถ้าจะขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวระยะทางไกลๆ  ขอแนะนำให้เตรียมร่างกายให้พร้อมนะคะ  เพราะจะเมื่อยมาก  
ถึงตัวและหน้าปะทะลมตลอด  แต่นั่นเหละค่ะสาเหตุให้หลับในได้  ขี่มอเตอร์ไซค์ก็หลับในได้นะคะ  และควรสวมอุปกรณ์ป้องกันอุบัติเหตุให้พร้อมนะคะ  โดยเฉพาะหมวกกันน็อค  เพราะทางขึ้นเขาใหญ่ก็อันตรายพอสมควร  อย่าขับขี่โดยประมาทแม้แต่วินาทีทีเดียวนะคะ เพื่อความปลอดภัยค่ะ




มาถึงเขาใหญ่แล้วค่า




เส้นทางร่มรื่นและอากาศดีมากค่ะ



รถสีเขียวเหมาะกับธรรมชาติป่าเขามากเลย




มาถึงที่นี่ต้องมาไหว้  ศาลเจ้าพ่อ เขาใหญ่ด้วยนะคะ




เจอรถยางแตกค่ะ แวะช่วยกันหน่อย
เพื่อนคนไทยด้วยกันค่า




 จุดตั้งแคมป์ตรงผากล้วยไม้นี่เหละค่ะ  อากศเย็นไม่แพ้ทางภาคเหนือเลย




น้ำตกเหวสุวัตค่ะ