วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

น้ำตกแม่ยะ

น้ำตกแม่ยะ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์  เป็นน้ำตกที่ขนาดใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ และยังติดสิบอันดับของน้ำตกที่สวยที่สุดในประเทศไทยอีกด้วยค่ะ 

เป็นสถานที่เงีบยสงบ เสียงธารน้ำไหล ร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนกับครอบครัวมากเลยค่ะในช่วงวันหยุดนี้ และที่นี่ยังมีเสื่อให้เช่า มีอาหารส่งถึงที่ค่ะ แต่แนะนำว่าควรเตรียมอาหารและเครื่องดื่มมาจากบ้านดีกว่านะคะ เพราะอาหารที่นี่ค่อนข้างแพง 

บริเวณน้ำตกก็สามารถเล่นน้ำได้ค่ะ แต่ต้องระมัดระวัง เพราะหินลื่นมาก และเด็กควรระมัดระวังเป็นพิเศษเลยนะคะ น้ำตกที่นี่เย็นมาก แค่เอาเท้าจุ่มลงไปยังสะดุ้งเลยค่ะ ถ้าลงทั้งตัวคงแข็งตายแน่เลย เลยขอนอนเล่นริมลำธารดีกว่าค่ะ บรรยากาศร่มรื่น บวกกับเสียงน้ำไหล นอนพักผ่อนเพลินเลยหล่ะคะ




น้ำตกที่สวยงามติดหนึ่งในสิบของประเทศไทยค่ะ




น้ำที่ไหลลงมากระทบชั้นหินเป็นม่านน้ำ




น้ำตกจะไหลกันรวมเป็นแอ่งและลำธารด้านล่าง




ที่นี่เล่นน้ำได้อย่างปลอดภัยค่ะ แต่ระวังหินลื่นหน่อยนะคะ

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ฤดูกาลเก็บถั่วแขก

ฤดูกาลเก็บถั่วแขก ถั่วแขกเป็นพืชพุ่ม กิ่งเลื้อย อายุการเก็บเกี่ยวจะประมาณ 70-80 วันนับตั้งแต่วันหยอดเมล็ด หลังจากปลูกได้ 15 วันก็ต้องทำค้างให้เลื้อยเหมือนถั่วฝักยาวค่ะ

ในหมู่บ้านปากอิงจะปลูกถั่วแขกกันทุกปีและเกือบทุกหลังคาเรือน เป็นเหมือนอาชีพหลักเลยก็ว่าได้ค่ะ  ถั่วแขกจะปลูกกันในฤดูหนาวค่ะ จะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้ออีกที  หลังเสร็จสิ้นจากการเก็บเกี่ยวก็จะปลูกพืชชนิดอื่นๆแล้วแต่ตามต้องการ  

เมื่อถั่วเริ่มเก็บผลผลิตได้แล้วก็จะหาลูกจ้างประจำมาช่วยเก็บถั่วค่ะ ส่วนมากจะมาจากฝั่งลาว แค่ต้องขออนุญาติเข้าเมืองให้ถูกต้องก่อนนะคะ บ้านหนึ่งหลังจะมีลูกจ้าง 2-3 คนขึ้นไป ฉนั้นในช่วงเก็บถั่วแขกนี้คนในหมู่บ้านจะเยอะมากเป็นพิเศษค่ะ

จะต้องออกไปเก็บถั่วแขกกันตั้งแต่ไก่โห่เลยทีเดียว หนาวก็หนาว จนมือชาเลยหล่ะค่ะ ต้องเก็บทุกวันนะคะ และต้องเก็บให็เสร็จทั้งไร่ด้วยค่ะ ไม่งั้นอีกวันจะโตเกินไป ได้ราคาต่ำค่ะ หลังจากนั้นตอนเย็นก็จะมานั่งคัดกัน โดยมี เกรดเอ และบีค่ะ เกรดเอจะได้ประมาณกิโลละสิบบาท ส่วนบีก็จะได้กิโลละห้าบาท  

ในตอนช่วงคัดถั่วนี่เหละค่ะ จะเป็นช่วงหนุ่มจีบสาว เพราะลูกจ้างทั้งหมดจะมารวมกันคัดถั่วที่บ้านคนรับซื้อ สาวที่หน้าตาดีก็โดนแซวกันใหญ่เลยค่ะ ถ้าเกิดหนุ่มๆชอบสาวคนไหนก็จะมาช่วยนั่งคัดถั่วด้วย ชวนพูดคุย ขายเสร็จก็เดินส่งกลับบ้าน บ้างก็ก่อกองไฟนั่งผิงไฟกันบ้าง จากนั้นก็แยกย้ายกันพักผ่อน ดูแล้วคนที่ฝั่งโขงเค้ายังรักษาจารีตประเพณีอยู่มากเลยนะคะ ถ้าเกิดมีหนุ่มอยากมาเที่ยวหาสาวที่บ้านก็ต้องขออนุญาตจากพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงก่อนนะคะ เพื่อให้เกียรติกัน และก็นั่งคุยกันในบ้าน ไม่ได้นัดพบปะกันข้างนอก

โรแมนติกดีนะคะฤดูการเก็บถั่วแขก ได้เห็นการจีบกันของหนุ่มสาวลาว คงจะเหมือนสมัยก่อนรุ่นพ่อแม่ที่ร้องเพลงเกี้ยวสาว นั่งคุยกันในสายตาผู้ใหญ่ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่เหมือนวัยรุ่นของเราสมัยนี้ค่ะ หลังจากหมดการเก็บเกี่ยว บางคนก็ได้เป็นคู่ครองกัน บ้างก็แยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาของตัวเอง แต่ที่ยังเหลือก็คือคือมิตรภาพและเรื่องเล่าของใครของมันเอาเก็บไว้ให้ลูกหลานฟังต่อไปค่ะ




ถั่วแขก




ใช้มือเก็บทีละฝ้กค่ะ จนหมดทุกต้นเลย




จากนั้นก็เก็บรวมใส่กระสอบไว้




หลังจากอาบน้ำกินข้าวเย็นแล้ว ก็มานังคัดถั่วกัน




คัดเสร็จเรียบร้อยก็ใส่เข่งชั่งน้ำหนักขายได้เลยค่ะ

พ่อเฒ่าเหนียว คนเก็บปิ่นโตวัด


พ่อเฒ่าเหนียว คนเก็บปิ่นโตวัด พ่อเฒ่าเหนียว ชื่อจริง "นายเหนียว คำหล้า" อายุ76ปี อาศัยอยู่บ้านปากอิง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่อยากนำเรื่องราวของพ่อเฒ่าเหนียวมาเล่าสู่กันฟัง ก็เพื่อสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของเราในปัจจุปันค่ะ

ในชนบทที่ทำไร่ทำนาตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีเวลาทำกับข้าวตักบาตรในตอนเช้า ฉนั้นจึงจะมีคนที่คอยเก็บปิ่นโตเพื่อนำอาหารจากชาวบ้านไปถวายพระที่วัดทุกวัน ยกเว้นวันพระค่ะ เพราะเป็นวันที่ชาวบ้านเตรียมกับข้าวไปทำบุญ ตักบาตรที่วัดเอง และคนคอยเก็บปิ่นโตประจำหมู่บ้านก็คือ "ลุงเหนียว" นี่เหละค่ะ ตอนนี้แกแก่มากแล้ว ก็เลยเรียกกันว่า "พ่อเฒ่าเหนียวค่ะ" 

ตั้งแต่จำความได้ทุกเช้าเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้าของทุกวัน  จะเห็นพ่อเฒ่าเหนียวแกจะหาบคานปิ่นโตไว้ใส่กับข้าวและย่ามใบหนึ่งเพื่อใส่ข้าวเหนียวค่ะ และแกก็ต้องไปถวายพระก่อนแปดโมง แกทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่เหนือหมู่บ้านจรดท้ายหมู่บ้นค่ะ เพื่อแลกกับค่าจ้างเดือนละประมาณ สองพัน บ้านทุกหลังจะจ่ายให้แกเดือนละสิบบาท มีประมาณสองร้อยหลังค่ะ

ในวันนี้ได้มีโอกาสเจอแกอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอแกร่วมสิบปีแล้วมั้งค่ะ ก็เลยเข้าไปทักทายและถามแกว่า ตอนนี้ใครเป็นคนเก็บปิ่นโตแทน เพราะเห็นแกแก่มากแล้ว แกตอบว่าไม่มีใครทำแทน และพระจำที่วัดก็มีแค่รูปเดียว บิณฑบาตรเองก็พอฉันอยู่ 

จึงทำให้นึกถึงว่า ตอนเมื่อยังเป็นเด็ก วัดจะเป็นศูนย์รวมของคนในหมู่บ้าน มีการปัญหาอะไรก็จะนัดประชุมกันที่วัด มีพระ เณร หลายรูป วันพระก็จะเป็นอะไรที่ตอนเด็กๆชอบมาก เพราะมีขนมที่เหลือจากพระฉัน วันออกพรรษาหรือลอยกระทง เณรก็จะช่วยกันทำดอกไม้ไฟเด็กๆก็จะช่วยทำด้วย แต่ปัจจุบัน วัดเงียบเหงามาก อาจเพราะชาวบ้านยุ่งอยู่กับการทำงานหาเงินเพื่อให้ได้วัตถุนิยมตามสมัย รายจ่ายเยอะขึ้นก็ต้องทำงานเยอะขึ้นตามกิเลสของใครของมัน หรือเพราะการละเลยจากการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี




พ่อเฒ่าเหนียวค่ะ




แกเก็บปิ่นโตให้วัดตั้งแต่สมัยหนุ่มๆค่ะ




ตอนนี้คงไม่มีหนุ่มสาวที่ไหนกล้าที่จะหาบปิ่นโตแทนแกแล้ว





สมัยก่อนวัดจะใช้ปิ่นโตสีเหลืองแบบนี้ค่ะ ก็เลยเรียกกันว่า"ปิ่นโตวัด" ค่ะ

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ลานพระบรมรูปทรงม้า


ลานพระบรมรูปทรงม้า  ที่นี่เป็นดั่งจุดนัดพบของคนรักรถทั้งหลาย แต่ไม่ใช่การแข่งรถกันนะคะ  แต่จะมีชมรมของรถต่างๆนามารวมตัวกันที่นี่ เพื่อพบปะพูดคุยกันตามประสาคนรักรถ  ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถรุ่นเก่าที่หายากแล้ว และรถประเภทสวยงาม  เช่นรถแต่ง บิ๊กไบค์ รถยุโรป  จักรยานก็มีนะคะ

ส่วนใหญ่ผู้คนจะมาที่นี่กันในคืนวันเสาร์ อาทิตย์ค่ะ มีทั้งคนที่มากราบสักการะเสด็จพ่อ  คนที่มาเดินเล่นดูรถประเภทต่างๆ  และยังมีนักปั่นทั้งหลายปั้นมาจากบ้านเลยนะคะเพื่อจะมารวมตัวกันที่นี่ด้วยค่ะ     

บรรยากาศที่นี่ดีมาก  มีลมโกรกตลอดเวลาเพราะเป็นลานโล่ง  มีไฟประดับรอบลาน  และยังมีทหารคอยเฝ้าระวังการก่อเหตุร้ายต่างๆด้วย  ฉนั้นที่นี่จึงค่อนข้างปลอดภัยจากการก่อเหตุทะเลาะวิวาท  และการก่อเหตุอาชญากรรมด้วยค่ะ

ถ้าเกิดรู้สึกอยากไปไหนสักที่ในคืนวันหยุด  ขอแนะนำมาเดินเล่นที่นี่ค่ะ  เผื่อจะได้รู้สึกผ่อนคลายบ้าง  คลายเครียดจากการทำงานในห้องสี่เหลี่ยมทั้งวัน  ลองมานั่งเล่น และมากราบไหว้เสด็จดูซักครั้งนะคะ  แล้วรู้สึกได้ว่าความสบายใจหาได้ง่ายๆ  ถ้ารู้จักปล่อยวาง




พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5)




ประดับไฟรอบๆลานค่ะ




มีรถประดิษแบบแปลกๆด้วยนะคะ




ชมรมของชาวบิ๊กไบค์ค่ะ




และนี่คือรถประเภทสวยงามค่ะ มีหลายสีน่ารักดีค่ะ

  


เป็นรถยุโรปค่ะ แต่เป็นยี่ห้ออะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่สวยมากและน่าจะแพงด้วย

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวเขาใหญ่

ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวเขาใหญ่   นี่เป็นทริปแรกของการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวที่ไกลที่สุดเลยค่ะ  จากกรุงเทพไปถึงเขาใหญ่ระยะทางประมาณ 205 กิโลเมตรค่ะ  เขาใหญ่ยังเป็นอุทยานแห่งแรกของไทยอีกด้วยนะคะ พื้นที่ของเขาใหญ่กว้างมาก  ครอบคุมถึงสี่จังหวัดเลย มี จังหวัดสระบุรี  นครศรีธรรมราช  ปราจีนบุรี  และนครนายกค่ะ

 เส้นทางจากกรุงเทพไปเขาใหญ่ไปได้สองทางค่ะ  ทางแรกคือแยกจากถนนมิตรภาพตรงกิโลที่ 56 ไปตามถนนธนะรัชต์ประมาณ 23 กิโลเมตร ส่วนอีกเส้นทางคือ จากกรุงเทพ-แยกกองหิน แล้วไปตามทางหลวงหมายเลข 33 ถึงสี่แยกเนินหอมใช้ทางหลวงหมายเลข 3077 ไปถึงเขาใหญ่ค่ะ  แต่เส้นทางที่สองค่อนข้างชันนะคะ

ถ้าจะขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวระยะทางไกลๆ  ขอแนะนำให้เตรียมร่างกายให้พร้อมนะคะ  เพราะจะเมื่อยมาก  
ถึงตัวและหน้าปะทะลมตลอด  แต่นั่นเหละค่ะสาเหตุให้หลับในได้  ขี่มอเตอร์ไซค์ก็หลับในได้นะคะ  และควรสวมอุปกรณ์ป้องกันอุบัติเหตุให้พร้อมนะคะ  โดยเฉพาะหมวกกันน็อค  เพราะทางขึ้นเขาใหญ่ก็อันตรายพอสมควร  อย่าขับขี่โดยประมาทแม้แต่วินาทีทีเดียวนะคะ เพื่อความปลอดภัยค่ะ




มาถึงเขาใหญ่แล้วค่า




เส้นทางร่มรื่นและอากาศดีมากค่ะ



รถสีเขียวเหมาะกับธรรมชาติป่าเขามากเลย




มาถึงที่นี่ต้องมาไหว้  ศาลเจ้าพ่อ เขาใหญ่ด้วยนะคะ




เจอรถยางแตกค่ะ แวะช่วยกันหน่อย
เพื่อนคนไทยด้วยกันค่า




 จุดตั้งแคมป์ตรงผากล้วยไม้นี่เหละค่ะ  อากศเย็นไม่แพ้ทางภาคเหนือเลย




น้ำตกเหวสุวัตค่ะ

ค่ำคืนแรกในเมืองกรุงของบุญโฮม


ค่ำคืนแรกในเมืองกรุงของบุญโฮม  พูดได้โดยไม่อายเลยหล่ะค่ะ  ว่านี่เป็นครั้งแรกของการมากรุงเทพมหานครแบบเต็มตัว  เพราะเป็นเด็กบ้านนอกค่ะ ตอนเด็กแทบจะไม่เคยได้ไปไหนเลย จำได้ว่าไกลที่สุดก็คงเป็นพะเยาค่ะ  จากเชียงรายไปพะเยานะคะ  โตมาก็ได้มากรุงเทพก็แค่ขนส่งหมอชิตเองค่ะ นั่งรถจากเชียงรายลงหมอชิต  แล้วก็ต่อรถจากหมอชิตไปศรีราชา  ชลบุรีเลยค่ะ เมื่อก่อนทำงานที่ศรีราชาค่ะ ไม่เคยได้ออกนอกเขตหมอชิตเลย  และจินตนาการว่ากรุงเทพคงเป็นเมืองที่มีแต่รถรา ตึกรามบ้านช่อง ความแออัด มีแต่แสงสีโลกีย์ค่ะ  เพราะว่าพอรถเข้าเขตกรุงเทพเมื่อไหร่ก็คือการรถติดค่ะ 

แต่พอมากรุงเทพครั้งนี้ได้เปลี่ยนมุมมองใหม่เลย  กรุงเทพมหานครยังมีมุมที่สวยงาม  น่าประทับใจ มิน่านักท่องเที่ยวชอบมาเที่ยวที่กรุงเทพกัน  สิ่งที่ประทับใจคือ วัดวาอารามค่ะ  ที่ยังคงสภาพศิลปะที่งดงามภายในเมืองหลวงที่เจริญ  มีทั้งวัดพระแก้วมรกต  วัดอรุณ  วัดโพธิ์  วัดระฆัง  วัดราชบพิตร  ยังมีวัดอีกเยอะแยะเลยค่ะ  เขียนเต็มหน้ากระดาษคงไม่พอ  

ยามค่ำคืนของกรุงเทพก็สวยงามมากค่ะ  ขี่มอเตอไซค์ไปเรื่อยๆ  ลมเย็นๆ  บรรยากาศดีมากเลยค่ะ  ได้เห็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย  สะพานพระรามแแปดยามค่ำคืน  จากนั้นก็ไปไหว้สักการะขอพรกับเสด็จพ่อที่ลานพระบรมรูปทรงม้าค่ะ  ผ่านวัดพระแก้วด้วยค่ะ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า มีผู้คนนำกุหลาบแดงมาสักการะท่าน และยังเป็นลานให้ผู้คนพบปะนั่งคุยกัน และมีทั้งชมรมรถโบราณ บิ๊กไบค์  และจักรยานด้วยนะคะ  ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าค่ำคืนของกรุงเทพจะสวยงามและโรแมนติกมากขนาดนี้  และถ้าเป็นวันสำคัญของประเทศยิ่งแล้ว  ถนนทุกหนทุกแห่งจะประดับด้วยไฟทำให้มีสีสันในยามค่ำคืน ชอบตรงขี่มอเตอร์ไซค์ดูไฟนี่เหละค่ะ  กรุงเทพเป็นเหมือนเมืองที่ไม่เคยหลับไหลเลยทีเดียว






อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย  เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ค่ะ




มองจากมุมล่างสะพานพระรามแปดสวยมาก




พระบรมรูปพระบาทสมเด็พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาราช (ร.5)




ลานพระบรมรูปเป็นลานโล่ง  ลมพัดเย็นสบายมากค่า

ถนนคนเดินประตูท่าแพ เชียงใหม่


ถนนคนเดินประตูท่าแพ เชียงใหม่  ผู้ที่มาเที่ยวเชียงใหม่ทุกคนต้องรู้จักถนนคนเดินแน่เลย  เพราะเป็นไฮไลค์ของเชียงใหม่ในยามค่ำคืนของวันหยุดเสาร์อาทิตย์ค่ะ  ถนนคนเดินจะมีอยู่สองที่ค่ะ  คือ ประตูท่าแพจัดขึ้นในวันอาทิตย์  และถนนวัวลายวันเสาร์ค่ะ  ถนนคนเดินประตูท่าแพจะเป็นที่นิยมกว่าที่ถนนวัวลายค่ะ  เพระาว่าใหญ่กว่าและมีร้านเยอะกว่าค่ะ  ถนนคนเดินประตูท่าแพจะอยู่บริเวณประตูท่าแพต่อไปยังถนนราชดำเนิน

สินค้าส่วนมากจะเป็นจำพวก  ศิลปะทางภาคเหนือ  มีการแสดงโชว์  และการจำหน่ายสินค้า โอทอป แฮนด์เมด ยังมีทั้งการสาธิตให้ชมด้วยนะคะ  และยังมีการแสดงดนตรีแบบเปิดหมวกค่ะ  มีทั้ง นักเรียน นักศึกษา ประชาชน และยังมีผู้พิการหาสายตามาเล่นดนตรีให้ชมกันค่ะ

ผู้คนที่มาก็จะมีทั้งคนพื้นที่  ที่ออกมาเดินเล่นหาของกินตอนเย็นๆ  และนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ชื่นชอบศิลปะล้านนา  ถนนคนเดินจะเริ่มเดินจากประตูท่าแพไปเรื่อยๆ  จะได้เห็นสินค้าสวยงามละลานตาไปหมดค่ะ  บางคนชอบที่จะเดินดูหาของแปลกๆค่ะ  หลังจากนั้นก็จบด้วยการหาของกินค่ะ  มีเงินห้าสิบบาทก็อิ่มได้ค่ะ  ได้กินหลายอย่างด้วยค่ะ โดยการหาเดินชิมไปเรื่อยๆไม่แพงค่ะ  อย่างละ ห้าบาท สิบบาท ชิมตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอย  อิ่มจนจุกเลยละค่ะ แถมได้ลองชิมอาหารพื้นเมืองดั้งเดิมที่หากินยากแล้วตอนนี้ของชาวล้านนาด้วยค่ะ  นี่เหละค่ะถนนคนเดิน  ทั้งเดินเที่ยว เดินกิน เพลินดีค่ะ 




ปิ่นโตยักษ์ ถนนคนเดินเชียงใหม่




ยังไม่มืดเลยก็มีผูคนเริ่มออกมาเดินกันแล้ว




มีการสาธิตวิธีการทำให้ดูด้วยนะคะ




ศิลปะ ภาพเขียนที่สวยงามค่ะ




มีทั้งสินค้าโชว์และจำหน่ายค่ะ




เด็กๆ ก็มาเล่นดนตรีหารายได้เสริมค่ะ  น่ารักมาก




ชาวบ้านที่เก่งดนตรีพื้นเมืองก็ออกมาโชว์ด้วย




นี่คือ นักดนตรีพิการทางสายตา  แต่ไม่พิการใจค่ะ




ตบท้ายด้วยการกินค่ะ  อิ่มแล้วกลับบ้านนอน แค่นี้สนุกได้อีกวันแล้วค่ะ

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พระธาตุลำปางหลวง


พระธาตุลำปางหลวง  ตั้งอยู่อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง  ห่างจากเมือลำปางประมาณ 18 กิโลเมตร  ทางขึ้นองค์พระธาตุจะมีบันไดนาค หรือเรียกว่าประตูโขง  ซึ่งเป็นฝีมืช่างหลวงในสมัยนั้นค่ะ  ส่วนเจดีย์นั้นแบบระฆังคว่ำ  ศิลปะแบบพุกามล้านนาค่ะ  

พระธาตุลำปางหลวงยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปีฉลูค่ะ  คนที่เกิดปีฉลูก็จะตั้งใจมากราบไหว้พระธาตุที่นี่ให้ได้ครั้งหนึ่ง  เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเองและครอบครัว

บริเวณพระธาตุจะมี  วิหารแต้ม  เป็นวิหารเปิดโล่งมีจิตรกรรมภาพเขียนลายทองบนพื้นรักแดงลงแผงไม้คอสอง  ว่ากันว่าเป็นศิลปะล้านนาที่เก่าแก่ที่สุดเลยค่ะ  และหลงเหลือเพียงที่เดียวในประเทศไทยด้วย  อายุก็ราวพุทธศตวรรษที่ 21 ลงมา  และมีอีกที่คือซุ้มพระบาท  ภายในสามารถมองเห็นพระธาตุและพระวิหารในมุกลับได้ด้วยค่ะ  แต๋ผู้หญิงไม่สามารถขึ้นไปได้ค่ะ  

คุณผู้หญิงทั้งหลายเวลาไปเที่ยวสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  ไม่ว่าจะเป็นพระธาตุ  วัด  หรือ  สถานที่สำคัญต่างๆ  ก็ควรแต่งกายให้สุภาพ  ถูกกาละเทศะด้วยนะคะ  เพื่อเคารพสถานที่และดูเรียบร้อยเหมาะที่จะเป็นพุทธศาสนิกชนด้วยค่ะ



พระธาตุลำปางหลวงค่ะ





ประตูโขง เป็นซุ้มประตูก่อน  เข้าไปยังพระวิหารค่ะ





องค์พระธาตุเจดีย์เป็นศิลปะแบบเจดีย์ทรงล้านนาค่ะ




 เงาพระธาตุกลับหัวที่วิหารพระพุทธค่ะ




ศิลปะที่ประณีตงดงามของช่างหลวงในสมัยก่อน




บริเวณหน้าวัดมีบริการนั่งรถม้าชมเมือง  หรือถ่ายรูปกับม้าก็ได้ค่ะ




 คุณลุงเล่นดนตรีเปิดหมวกค่ะ  ก็เลยขอเล่นด้วย  พอดีเป็นมือซึงเก่าค่ะทบทวนความรู้เก่าๆ  นานมากแล้วนะคะที่ไม่ได้เล่นดนตรีพื้นเมือง สะล้อ  ซอ  ซึงค่ะ


ขี่มอเตอร์ไซค์ไปแอ่วลำปาง

ขี่มอเตอร์ไซค์ไปแอ่วลำปาง  ทริปนีเป็นการเดินทางโดยขี่มอเตอร์ไซค์จากเชียงใหม่ไปลำปางค่ะ  ระยะทางก็ประมาณ 92 กิโลเมตร ก็ไม่ถือว่าไกลมากเท่าไหร่  ตั้งใจว่าจะมาวัดพระธาตลำปางหลวงค่ะ  กะว่าจะหาที่พักราคาถูกๆ พักซักคืน พอดีมาถึงที่นี่ช่วงบ่าย  ก็เลยมีเวลาขี่มอไซค์ชมวัดที่อยู่แถวๆในเมืองเสียก่อน

จังหวัดลำปาง  มีชื่่อเดิมว่า "เขลางค์นคร"ค่ะ เป็นเมืองที่มีประวัติเก่าแก่มากมาย  ภายในพื้นที่จังหวัดลำปางนั้น มีวัดเก่าแก่หลายแห่งเลยค่ะ แต่หน้าแปลกใจนะคะ  เห็นวัดที่นี่มีศิลปะ  และสถาปัตยกรรมหลากหลายมากเลย  ก็เลยหาประวัติเมืองลำปางมาอ่านดูค่ะ 

สถาปัตยกรรมที่นี่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  เป็นแบบล้านนาแท้  และลำปางยังเคยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่ามานานตั้งสองร้อยปีทีเดียว  เราจึงได้เห็นวัดที่มีศิลปะผสมผสานแบบงดงามหลงเหลืออยู่ให้ชมจนทุกวันนี้ค่ะ




ขี่มอเตอร์ไซค์ตากแดด ตากลม แต่ก็สนุกดีค่ะ





ก่อนถึงตัวเมืองลำปาง จะมีกาดทุ่งเกวียน  อ.ห้างฉัตร  ที่นี่จะขายของฝากมากมาย อย่างเช่น แคบหมู ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่มค่ะ




ถึงลำปางแล้วต้องเห็นรถม้าค่ะ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองรถม้า




มีวัดมากมายเลยค่ะ ในเมืองลำปาง




นี่ก็คือศิลปะแบบพม่าค่ะ




ที่วัดดอนเต้าก็มีศิปะของพม่าผสมผสานอยู่




วัดของคนจีนค่ะ



วัดพระธาตุจอมปิงนี้อยู่ทางไประหว่างพระธาตุลำปางหลวงค่ะ